สมัยที่เริ่มอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น หรือดูละครญี่ปุ่นแรกๆ พอเห็นชุดนักเรียนที่ตัวละครในแต่ละเรื่องใส่กันแล้วก็อดนึกอยากใส่บ้างไม่ได้ เพราะแต่ละชุดนั้นน่ารักมากๆ โดยปกติถ้านึกถึงชุดนักเรียนของเด็กผู้ชายก็คงจะถึงชุดในแบบที่ 1 เรียกว่า 学ラン (Gakuran) และชุดของเด็กผู้หญิงเป็นในแบบที่ 2 เรียกว่า セーラー服 (Seeraa Fuku) แล้ววันหนึ่งฝันของตัวเองก็เป็นจริงเพราะได้มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในโรงเรียนมัธยมของญี่ปุ่น แต่ก็ต้องผิดหวังไปเล็กน้อย เพราะไม่ได้ใส่เซร่าฟุกุหรือชุดกะลาสีแขนยาวอย่างที่ใฝ่ฝันไว้หนักหนา ได้ใส่ชุดสูทสีน้ำเงินธรรมดาแทน ส่วนชุดกะลาสีได้ใส่เฉพาะตอนฤดูร้อนเท่านั้น
พออยู่มาได้สักพักก็ถึงได้รู้ว่า จริงๆ แล้วตั้งแต่ประมาณปี 1985 เป็นต้นมา โรงเรียนต่างๆ ในญี่ปุ่นนั้นเริ่มที่จะออกแบบชุดนักเรียนในแบบของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันแทบจะหาโรงเรียนที่ใส่ชุดกะลาสีแบบดั้งเดิมอย่างที่เห็นในรูปนี้ไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ (แบบที่ใช้มาตั้งแต่สมัยปี 1930 ต้องผ้าพันคอสีแดง)
ชุดแบบที่ 1 Gakuran
คำว่า ラン (Ran) มาจากคำว่า ランダ (Randa) ซึ่งเต็มๆ ก็คือ オランダ人が着ている服 (Oranda jin ga kiteiru fuku) เนื่องจากเป็นชุดที่มีต้นแบบมาจากชุดที่คนฮอนแลนด์ใส่
ชุดแบบที่ 2 Seeraa Fuku
Seeraa มาจากคำว่า Sailor ในภาษาอังกฤษ และก็เป็นที่มาของชื่อเรื่องการ์ตูน “เซเลอร์มูน” เพราะตัวละครทุกตัวใส่ชุดกะลาสีนั่นเอง
ชุดของนักเรียนชายนั้นหลักๆ แล้วมีสองแบบ คือแบบที่เห็นในรูปกับแบบที่เป็นชุดสูท ส่วนชุดนักเรียนหญิงนั้นจะมีความหลากหลายมากกว่า แตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียนจะออกแบบ ถ้าเราเปิดดูโฮมเพจแนะนำโรงเรียนของโรงเรียนเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนหญิงล้วนนั้น มักจะมีส่วนที่แนะนำเครื่องแบบของโรงเรียนด้วยว่าน่ารักอย่างไรเพราะเครื่องแบบของโรงเรียนก็เป็นจุดขายสำคัญ
ส่วนหนึ่งในการโฆษณาโรงเรียน บางโฮมเพจก็มีข้อความโฆษณาว่าใครเป็นคนออกแบบชุดนักเรียนนั้น เคยเจออยู่โรงเรียนหนึ่งบอกไว้เลยว่าแบบของชุดนักเรียนนั้นเป็นแบบที่ได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ นักเรียน และสมาคมผู้ปกครองเป็นที่เรียบร้อย บ้างก็กล่าวถึงประวัติชุดนักเรียนของโรงเรียนตัวเองว่าถึงโรงเรียนอื่นจะชอบเปลี่ยนแบบชุดนักเรียนแต่โรงเรียนของตนนั้นใช้แบบชุดเดียวกันสืบทอดมาเป็นเวลาร้อยกว่าปีมาแล้ว (มีแอบกัดโรงเรียนอื่นด้วย)
สิ่งหนึ่งที่ตัวเองอึ้งเมื่อไปเห็นบรรดาเครื่องแบบนักเรียนมัธยมของญี่ปุ่นครั้งแรกก็คือ ชุดนักเรียนนั้นไม่ได้มีเพียงชุดนักเรียน ชุดพละ ชุดลูกเสือเนตรนารีอย่างของไทย (ของเค้าไม่มีเรียนลูกเสือกันนะคะ) แต่ชุดนักเรียนของญี่ปุ่นจะแบ่งเป็นชุดฤดูหนาวซึ่งจะเป็นชุดแขนยาว รวมไปถึงเสื้อโค้ท (ดูรูปจากในตารางด้านล่าง) และชุดฤดูร้อน ส่วนชุดพละก็มีฤดูร้อนและฤดูหนาวเหมือนกัน
ส่วนรองเท้าตอนไปโรงเรียนส่วนใหญ่ใส่รองเท้าอะไรไปก็ได้ อย่างมากก็บังคับว่าต้องเป็นรองเท้าหนัง แต่ที่โรงเรียนมัธยมของผู้เขียนนั้นจะใส่รองเท้าผ้าใบไปก็ได้ ไม่มีปัญหา เพราะก่อนเข้าโรงเรียนต้องถอดเปลี่ยนที่ล็อคเกอร์ตรงทางเข้าโรงเรียนเพื่อเปลี่ยนเป็นสลิปเปอร์หรือรองเท้าแตะที่ใส่ในโรงเรียนอยู่แล้ว ซึ่งสีรองเท้าแตะนั้นก็แบ่งไปตามชั้นปี (อันนี้แล้วแต่โรงเรียน บางโรงเรียนก็เป็นสีขาวล้วน) ถ้าเดินอยู่ในตัวตึกก็จะต้องใส่รองเท้าแตะนี้ ถ้าก้าวเหยียบออกไปนอกตัวตึกต้องใส่รองเท้าที่ใส่มาจากบ้าน เพราะเหตุนี้ก็เลยไม่ค่อยอยากจะย่างกรายออกไปไหนสักเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องวิ่งไปที่ล็อคเกอร์เพื่อเปลี่ยนรองเท้าอีก เท่านั้นไม่พอ ทางโรงเรียนยังมีรองเท้าพละให้อีกสองคู่ คู่หนึ่งเป็นรองเท้าพื้นยางสำหรับใช้เล่นกีฬาโรงยิม พื้นโรงยิมจะได้ไม่เป็นรอย อีกคู่หนึ่งเป็นรองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งที่สนามข้างนอก ถ้ามีเรียนว่ายน้ำก็ต้องหอบเอาชุดว่ายน้ำมาเปลี่ยนกันอีกเป็นที่วุ่นวาย เรื่องราคาของชุดทั้งหมดที่กล่าวมาก็ไม่ต้องพูดถึง ค่าเครื่องแบบอย่างเดียวก็แพงลิบแล้ว เฉพาะชุดนักเรียนจริงๆ ชุดหนึ่งประมาณสองหมื่นกว่าเยนขึ้นไป (7-8 พันบาท) ยังมีชุดต่างๆ ตามมาอีก รวมไปถึงเครื่องประดับอย่างเนคไท ป้ายสลักชื่อ ป้ายเลขห้องและชั้นปี เข็มตราโรงเรียน ป้ายชื่อติดชุดพละและอะไรอีกสารพัด ถ้าลูกใครเป็นเด็กโตเร็ว ต้องเปลี่ยนขนาดเสื้อผ้าบ่อยๆ พ่อแม่คงต้องกลุ้มหนักทีเดียว
ว่าแล้วก็ย้อนกลับมาเรื่องของชุดนักเรียนของแต่ละฤดูต่อดีกว่า ชุดนักเรียนที่แตกต่างกันไปตามฤดูนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกใส่ได้ตามใจชอบนะคะ ทางโรงเรียนจะกำหนดวันให้เลยว่าวันไหนจะเป็นวัน 衣替え (Koromogae) หรือวันเปลี่ยนชุดเมื่อเข้าฤดูใหม่ อันนี้ก็แล้วแต่ทางโรงเรียนจะกำหนดมา ปกติฤดูร้อนก็จะเป็นชุดแขนสั้นเสื้อสีขาว ฤดูใบไม้ผลิกับใบไม้ร่วงจะแต่งเหมือนชุดฤดูหนาว แต่ถ้าร้อนก็เอาส่วนที่เป็นเสื้อสูทหนาออกใส่แต่เสื้อกั๊กทับบนเสื้อเชิ้ตได้ ถ้าหนาวมากๆ ก็ให้ใส่โค้ทมา แต่ทั้งนี้ส่วนใหญ่ในโรงเรียนจะมีฮีทเตอร์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทางโรงเรียนจึงสั่งห้ามใส่เสื้อโค้ทในเวลาเรียนหรือเวลาที่เดินไปเดินมาในโรงเรียน ซึ่งบางทีเวลาเดินตามทางเดินในโรงเรียนก็หนาวจะแย่แต่ก็ต้องทนใส่แต่สูท ถ้าปีนั้นๆ อุณหภูมิไม่เป็นไปตามคาด ช่วงใกล้ๆ เวลา Koromogae ก็จะทรมานกันสักหน่อย อย่างเช่นใส่เครื่องแบบของฤดูหนาวอยู่ แต่อากาศช่วงเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิไปฤดูร้อนในปีนั้นร้อนเร็วมาก ก็ไม่สามารถเปลี่ยนไปใส่ชุดนักเรียนฤดูร้อนบางๆ แขนสั้นได้อย่างที่ต้องการ หรือปีไหนหนาวเร็ว ช่วงเปลี่ยนจากฤดูร้อนไปฤดูใบไม้ร่วงก็ต้องทนใส่เสื้อแขนสั้นไปโรงเรียนทั้งๆ ที่หนาวๆ อย่างนั้น พอโรงเรียนประกาศ Koromogae ให้เปลี่ยนชุดแล้ว ทุกคนก็ต้องทำตามเพื่อความเป็นระเบียบในโรงเรียน
พอถึงพิธีจบการศึกษา ใครที่อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นก็คงพอทราบว่าตอนที่เรียนจบนั้น นักเรียนหญิงจะไปขอกระดุมเม็ดที่สองของชุดนักเรียนชายที่ตนเองชอบ นั่นก็เรื่องจริงนะคะ รุ่นพี่คนไหนป๊อปมากๆ ล่ะก็ ไม่ต้องกระดุมเม็ดที่สองหรอกค่ะ ถูกขอไปทุกเม็ดเลยทีเดียว เพื่อนบางคนไม่มีคนมาขอ ก็แอบตัดเองก็มีเป็นที่สนุกสนาน ในยุคหลังพอเครื่องแบบเริ่มเปลี่ยนไปเป็นชุดสูท ไม่รู้จะขอกระดุมยังไงก็หันไปขอเนคไทกันแทน
ถึงเราจะเห็นว่าชุดนักเรียนของเขาดูเท่ น่ารัก น่าใส่กว่าของเราเป็นไหนๆ แต่ไม่ว่าเครื่องแบบจะน่ารักอย่างไร สำหรับเด็กญี่ปุ่นเองก็เหมือนๆ กับเด็กนักเรียนไทยส่วนหนึ่ง ที่ไม่ค่อยนิยมการใส่เครื่องแบบนัก เรื่องแต่งเครื่องแบบผิดกฎโรงเรียนก็มีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ เด็กผู้หญิงก็มักจะไปเย็บเสื้อสูทให้เอาเข้ารูป กระโปรงก็ใช้สายเอี๊ยมเพื่อดึงชายกระโปรงให้สั้นขึ้น ถึงสั้นมากจนหัวใจจะวาย ส่วนของผู้ชายก็ไปตัดชายเสื้อ Gakuran ให้สั้นขึ้นบ้าง ใส่กางเกงทรงผิดระเบียบบ้าง ใส่ให้ย้อยๆ ลงมาเหมือนกางเกงเด็กแร็พบ้าง วันดีคืนดีพออาจารย์มาเดินตรวจเครื่องแบบของทั้งโรงเรียน เด็กผิดระเบียบก็จะวิ่งไปขอแลกเสื้อกับเด็กถูกระเบียบของห้องที่ตรวจเสร็จแล้วให้วุ่นวายกันไปหมด
ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งเครื่องแบบนั้นก็มีไม่น้อยทีเดียว สาเหตุใหญ่ๆ ก็ได้แก่
★ ทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยก เป็นพรรคเป็นพวก
★ ปิดกั้นความคิด ทำให้เด็กไม่มีความคิดสร้างสรรค์ มากไปกว่านั้นคือ พอถึงเวลาที่ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนแล้วต้องเลือกชุดใส่เอง ทำให้เกิดความเครียดกับเด็ก (ได้ยินความเห็นนี้มาแล้วกลุ้มค่ะ กะแค่การเลือกเสื้อเนี่ย มันจะเครียดอะไรกันมากมายเชียวหนอ และบางโรงเรียนนั้นถึงกับกำหนดให้มีวัน Casual Day ออกมา เพื่อให้นักเรียนสามารถใส่ชุดอะไรก็ได้มาเรียนได้ อย่างที่หลายๆ บริษัทก็ทำกันในปัจจุบัน แต่พอเอาเข้าจริง นักเรียนส่วนใหญ่ก็แต่งชุดนักเรียนมาโรงเรียนกันอยู่ดี)
นอกจากนี้ก็มีเหตุผลอื่นๆ อีก เช่น
★ เป็นชุดที่มาจากชุดของทหาร ทำให้คิดถึงสงคราม
★ ใส่ชุดนักเรียนแล้วไม่สามารถไปเที่ยวหลังเลิกเรียนได้
★ ทำให้เซนส์ในการเลือกเสื้อผ้าเสียไป
★ แบบชุดของโรงเรียนไม่สวย ไม่อยากใส่ ฯลฯ
ยิ่งภาพพจน์ของชุดกะลาสีด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะตั้งแต่มีคนโรคจิตเริ่มนำชุดกะลาสีไปเป็นจุดขายด้านการขายบริการทางเพศ ก็ทำให้ภาพของชุดกะลาสีนั้นเสื่อมลงไปอย่างมากเลยทีเดียว เช่นเดียวกับกางเกงพละของเด็กผู้หญิงหรือ ブルマ (Buruma) ที่รูปร่างเหมือนกางเกงในตัวใหญ่ๆ หน่อย (ใครที่อ่านการ์ตูนคงเคยเห็น) ในปัจจุบันก็แทบจะไม่มีโรงเรียนไหนใช้แล้ว ก็เพราะพวกโรคจิตนี่แหละ ที่ชอบแอบมาถ่ายรูปเด็กๆ ที่เล่นพละไปลงตามโฮมเพจอนาจารต่างๆ โรงเรียนมัธยมของผู้เขียนเองก็ต้องเปลี่ยนเครื่องแบบพละไปเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เครื่องแบบนั้นใช้มาติดต่อกันเป็นเวลาหลายสิบปีโดยที่ไม่มีปัญหาอะไร แต่รู้สึกว่าเมื่อเทคโนโลยีรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วในช่วงสิบปีที่ผ่านมาทั้งกล้องดิจิตอล และอินเตอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นช่องทางและเครื่องมืออย่างดีของคนโรคจิตเหล่านี้ไป จึงเป็นที่น่าเสียดายว่า แม้แต่เครื่องแบบชุดนักเรียนเองก็ต้องถูกทำลายภาพพจน์ไปด้วย ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราอาจจะไม่ได้เห็นนักเรียนญี่ปุ่นใส่ชุดกะลาสีน่ารักๆ กันอีกแล้วก็ได้
Credit: http://www.geocities.jp/taewmagazinejp/PubishedWork/uniform.htm
หน้าที่เข้าชม | 2,586,029 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,020,000 ครั้ง |
เปิดร้าน | 23 ม.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 21 ส.ค. 2568 |